อีกหนึ่งช่องทางในการประหยัดค่าไฟในหน้าร้อน ซึ่งเป็นปัญหาเล็กๆ ที่ไม่ควรมองข้าม โดยวันนี้จะมาแนะนำเทคนิคการปรับแอร์ให้ถูกวิธี หมดปัญหาเรื่องแอร์เย็นช้า หรือแอร์ไม่เย็น และที่สำคัญก็คือ การที่เราปรับแอร์อย่างถูกวิธีนั้น ก็จะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ช่วยประหยัดค่าไฟได้ดีเลยทีเดียว
1.Auto Mode
โหมดการทำงานแรกที่เราจะพูดถึงในวันนี้ก็คือ Auto Mode ซึ่งเป็นโหมดที่นิยมใช้กันมากที่สุด เพราะเป็นโหมดที่ใช้งานง่าย เรียกได้ว่าเราใช้โหมดนี้แล้วแทบไม่ต้องไปปรับอะไรเพิ่มเลย โดยการทำงานของโหมดนี้ก็คือแอร์จะทำงานโดยอัตโนมัติ ทั้งเซ็นเซอร์ อุณหภูมิ ความเร็วของพัดลม ก็จะถูกปรับไปตามการวิเคราะห์จากการทำงานนั่นเอง โดยโหมดนี้เหมาะสำหรับสำนักงาน ห้างร้านต่างๆ นิยมใช้ เพราะแอร์จะทำงานโดยอัตโนมัติ โดยวิเคราะห์ผลจากหลายๆ ปัจจัย เช่น จำนวนคน สภาพอากาศภายนอก รวมถึงสภาพอากาศภายในห้องด้วย
ข้อดีของการใช้โหมดนี้ก็คือ ไม่ต้องไปยุ่งอะไรนัก ปล่อยให้แอร์ทำงานเอง เหมาะสำหรับในห้องที่มีคนอยู่เยอะ มีการเข้าออกบ่อย แต่ถ้าคุณอยู่ในห้องทำงานคนเดียว หรือมีจำนวนคนไม่เยอะเท่าไหร่ก็ไม่แนะนำให้ใช้โหมดนี้ เพราะอัตราการกินไฟก็เรียกได้ว่าเยอะพอสมควร
2.Cool Mode
โหมดต่อมาที่กำลังจะพูดถึงก็คือ Cool Mode หรือโหมดทำความเย็นนั่นเอง เรียกได้ว่าเป็นโหมดที่หลายๆ บ้านเลือกใช้เช่นกัน เพราะเป็นโหมดที่ทำงานอย่างตรงไปตรงมา การทำงานของแอร์คือจะทำงานตามอุณหภูมิที่เรากำหนด เช่นถ้าเราตั้งไว้ที่ 25 องศา แอร์ก็จะทำงานที่ 25 องศาโดยค่อยๆ ทำอุณหภูมิอย่างช้าๆ เมื่อถึงองศาที่เราตั้งไว้แอร์ก็จะอยู่ในสภาวะที่หยุดทำงานหรือที่เราเรียกกันว่าแอร์ตัดนั่นเอง
โหมดนี้เหมาะสำหรับห้องทั่วไป เช่นห้องนอน ห้องนั่งเล่น ข้อดีคือเราสามารถเลือกอุณหภูมิได้เองตามใจชอบ แต่จะมีอัตราการกินไฟมากกว่า Auto Mode ในกรณีที่มีอากาศร้อนจัดเพราะแอร์ต้องทำงานตามอุณหภูมิที่เราตั้งไว้ จนบางครั้งแอร์ต้องแบกรับภาระหนักจนเกินไปทำให้มีอัตราการกินไฟที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง แต่เทคนิคที่ดีที่สุดสำหรับการใช้ Cool Mode ก็คือ ปรับอุณหภูมิไว้ที่ 25 องศาหรือสูงกว่านี้ จะทำให้แอร์ทำงานในสภาวะปกติ คือไม่ทำงานหนักจนเกินไป หากจำเป็นต้องปรับอุณหภูมิให้ต่ำกว่านี้แนะนำให้ปรับเป็น Auto Mode จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
3.Dry Mode
โหมดต่อมาที่ผมกำลังจะพูดถึงก็คือ Dry Mode หรือโหมดลดความชื้นนั่นเอง โดยเมื่อเปิดโหมดนี้เราจะทำอะไรกับแอร์ไม่ได้เลย แอร์จะทำงานอย่างเดียวโดยที่หน้าปัดรีโมทแอร์ก็จะไม่มีแม้แต่ตัวเลขแสดงอุณหภูมิ แต่จะเป็นสัญลักษณ์หยดน้ำเท่านั้น เพราะว่า หลักการทำงานของโหมดนี้ก็คือ แอร์จะทำหน้าที่ลดความชื้นของห้องเท่านั้น โดยจะเอาความความชื้นในอากาศดูดเข้าไปในเครื่องและกลั่นตัวเป็นไอน้ำปล่อยทิ้งตามท่อ โหมดนี้แอร์จะทำงานไม่หนักเท่าไร มีอัตราการกินไฟต่ำ แต่ก็ไม่สามารถทำให้ห้องเย็นได้เช่นกัน ดังนั้น โหมดนี้เหมาะกับห้องที่มีความจำเป็นต้องไล่ความชื้นออกเท่านั้น สำหรับห้องที่อยู่อาศัยไม่จำเป็นต้องใช้โหมดนี้
4. Fan Mode
โหมดพัดลมนั่นเอง ขยายความให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ถ้าใช้งานโหมดนี้ แอร์จะทำหน้าที่เหมือนกับพัดลมทั่วไป โดยอุณหภูมิที่ตั้งไว้จะไม่มีผลใดๆ ทั้งสิ้น เพราะว่าแอร์จะไม่ทำความเย็น ดงนั้นอัตราการกินไฟจึงต่ำ เมื่อเท่ากับ Auto Mode หรือ Cool Mode แต่ก็ทำงานเป็นเพียงพัดลมเท่านั้น สำหรับในช่วงที่มีอากาศร้อน ไม่แนะนำให้ใช้เพราะจะไม่ช่วยให้ห้องเย็นขึ้นเท่านั้น ในกรณีที่ต้องใช้โหมดนี้ควรใช้ในช่วงที่อากาศกำลังเย็นๆ แต่อยากได้ความเย็นเพิ่มก็ให้เปิดแอร์ในโหมด Fan ก็จะทำให้ห้องของเราเย็นขึ้นนั่นเอง พูดง่ายๆ คือ เหมือนเปิดพัดลมเพิ่มมาอีกตัวนึง
แต่ข้อดีของ Fan Mode ก็คือ ในช่วงเวลาที่แอร์ของเรามีกลิ่นอับ กลิ่นเหม็นในตัวเครื่อง ก็สามารถเปิด Fan โหมดทิ้งไว้เพื่อให้ไล่กลิ่นออกมาจากตัวเครื่อง และ Fan Mode ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของคอยเย็นได้อีกด้วย โดยเมื่อเปิด Fan Mode ทิ้งไว้ ลมจะช่วยเป่าคอยเย็นให้ลดความชื้นสะสม ทำให้คอยเย็นทำงานไม่หนักนั่นเอง ช่วยลดการเกิดปัญหา แอร์เย็นช้า หรือแอร์ไม่เย็นได้เป็นอย่างดี
5.Smart Saving Mode
ต้องออกตัวก่อนเลยว่า โหมดนี้จะมีเฉพาะแอร์ในบางรุ่นเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นโหมดที่ประหยัดสุดๆโดยการทำงานของแอร์จะเป็นไปใน Cool Mode คือทำงานตามอุณหภูมิที่เราตั้งไว้ แต่จะถูกสั่งการให้ทำงานช้าลง ทำงานแบบไม่กระชาก เมื่อเปิดโหมดนี้เราจะไม่ค่อยได้ยินเสียงแอร์เท่าไหร่ แต่ข้อเสียก็คืออาจจะทำให้แอร์เย็นช้า แต่ก็ประหยัดไฟได้มากสุดๆ เหมาะสำหรับห้องที่ต้องเปิดแอร์ทั้งวัน